เมื่อมีอาการตาแห้ง

 

เมื่อมีอาการตาแห้ง

 

เมื่อเร็ว ๆ นี้นางเอกสาวชื่อดัง "แอฟ" ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ ให้สัมภาษณ์ว่า มีอาการ"ตาแห้ง" น้ำตาไหลไม่หยุด โดยหมอแนะวิธีรักษา คือพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่โดนแสง ไม่โดนลม ซึ่งทุกข้อนี้ทำไม่ได้เลย ถ้าช่วงไหนเป็นหนักๆ คุณหมอก็ให้ยาหยอดตาแบบเข้มข้นพิเศษ แต่ก็ใช้ติดต่อกันนาน ๆ ไม่ได้ อยากรู้แล้วสิว่า "ตาแห้ง" ทำไมน้ำตาไหลไม่หยุด มาฟังคำตอบจาก รศ.นพ.ปริญญ์ โรจนพงศ์พันธุ์ หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย

 

รศ.นพ.ปริญญ์ อธิบายว่า ตาแห้งเป็นโรคที่ทันสมัยและเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในคนไข้ที่มาหาหมอตา คนไข้เกินครึ่งที่เราดูแลในคลินิกโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องของน้ำตาหรือตาแห้ง มากกว่าโรคต้อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต้อกระจก ต้อหิน เพราะโดยดยธรรมชาติของคนไข้ที่มาหาหมอตา ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ จึงไม่แปลกลกที่ปัจจุบันคนไข้มาหาหมอตาแล้วจะได้รับน้ำตาเทียมกลับบ้านไป

 

จะเรียกว่าโรคตาแห้งเป็นโรคร่วมสมัยก็ได้ เพราะในอดีตไม่เคยมีมากขนาดนี้ ทำไมจึงพบโรคตาแห้งบ่อยมากในปัจจุบันก็คงเป็นนเพราะปัจจัย 4 ประการ 1. คนอายุยืนขึ้น ยิ่งอายุมาก ไม่ใช่ตาแห้งอย่างงเดียว ปากแห้ง คอแห้ง ผิวแห้งด้วย การสร้างน้ำตาก็น้อยลง ดังนั้นยิ่งยิ่งประชากรอายุยืนขึ้นก็ยิ่งมีคนเป็นโรคตาแห้งมากขื้น

 

2. ปัจจุบันคนเราทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แล้วมีอะไรให้ดูเยอะ อะ อยู่บ้านก็ดูทีวีหรืออินเทอร์เน็ต นั่งประชุมก็ต้องดูหน้าจอ อยู่ว่างก็หยิบยิบโทรศัพท์มือถือมาดู ทุกคนต้องใช้ตามาก ตั้งแต่เด็กเล็กไปถึงคุณยายายก็ยังเล่นเกม พอใช้ตามาก ชั่วโมงการใช้ตาเยอะก็ยิ่งทำให้ตาแห้ง เพราะเวลาใช้ตาเพ่งมองจ้องอะไรเราจะกะพริบตาน้อยลงโดยอัตโนมัติ ยิ่งยิ่งตั้งใจดู เช่น เร่งเขียนบทความนี้ให้เสร็จ คุณก็เร่งพิมพ์ ก็ยิ่งกะพริบตาน้อยลง ดังนั้นการทำงานบางอย่างจะทำให้ตาแห้งมากกว่าคนอื่น เช่น คนที่พิมพ์งานหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ นักบัญชี หรือดารา พิธีกร บางครั้งต้องถ่ายทำบางฉากนาน ๆ อยู่หน้าไฟตลอด โรงถ่ายแห้ง ฝุ่นเยอะ อดหลับอดนอน ซึ่งการอดหลับอดนอน หรือนอนน้อย จะมีความสัมพันธ์กับตาแห้งอย่างชัดเจน ยิ่งนอนน้อยตายิ่งแห้งง่าย เดี๋ยวนี้มีโรคนอนน้อยด้วยในแม่บ้าน ดูหนังซีรีส์ ดูทีวีนาน ๆ ก็ยิ่งทำให้ตาแห้ง เพราะใช้ตาถี่ขึ้นนานขึ้น คนรุ่นใหม่เริ่มใช้ตามากตั้งแต่เด็ก ถามว่าเดี๋ยวนี้มีเด็กคนไหนไม่เล่นเกมจากมือถือบ้าง ขนาดผู้สูงอายุคุณป้า คุณอา คุณตา คุณยาย ยังเล่นเกมเลย ซึ่งการเล่นเกมจะยิ่งทำให้เราตั้งใจมองหน้าจอมากกว่าการทำงานซะอีกก็จะยิ่งทำให้ตาแห้งยิ่งกว่าเดิม

 

3. คนปัจจุบันใช้ยาหลาย ๆ อย่างเยอะมาก เช่น ยาลดความดัน ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาแก้แพ้ หรือลดน้ำมูก ซึ่งยาบางตัวที่กินมีผลต่อตาแห้งอย่างมาก ยารักษาสิวบางชนิด ในกรณีเด็กที่มีสิวมาก ๆ แล้วหมอให้ยาทาไม่หาย อาจต้องให้ยารับประทานลดสิว ยาพวกนี้ก็อาจทำให้ตาแห้งได้ ดังนั้นการใช้ยาไม่ได้จำกัดเฉพาะในคนอายุมากเท่านั้น แต่มีการใช้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่

 

4. ชีวิตคนเมือง หรือชีวิตคนทำงาน เราอยู่ในห้องแอร์มากและนานขึ้น เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อนโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่จริงบ้านเรามีอากาศชื้น แต่พอเราอยู่ในห้องแอร์ บอกได้เลยว่าอากาศจะแห้งมาก บางคนนั่งตรงทางลมแอร์หรือเปิดพัดลมใส่ ก็ยิ่งทำให้ตาแห้งมากขึ้น ถึงได้บอกว่าโรคตาแห้งเป็นโรคทันสมัย เป็นโรคสมัยใหม่ เพราะพบบ่อยขึ้นในปัจจุบัน

 

สรุปสาเหตุของตาแห้งจึงขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลกับการใช้งาน ผู้หญิงกับผู้ชายตาแห้งจะต่างกัน อย่างผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนตาจะแห้งง่าย แต่โดยหลัก คือ วิธีการใช้ตา ชั่วโมงที่ใช้ตา กับชนิดของงานมีผลต่อตาแห้งมาก

 

อาการตาแห้ง ถ้าเป็นเล็กน้อยก็ไม่ค่อยสบายตา ระคายเคือง ถ้าเป็นมาก ๆ เริ่มแสบตา ฝืดแห้ง จนถึงน้ำตาไหลจากการกระตุ้นถ้าเป็นจนถึงขั้นกระจกตาอักเสบ เริ่มมีอาการตามัว มิใช่แค่แสบตาแล้ว แต่จะมีอาการเจ็บตา ถ้าเป็นหนักมาก ๆ ตาจะพร่ามัวมากจนมีผลต่อการมองเห็น แต่ส่วนใหญ่คนไข้เริ่มระคายเคืองก็มาหาหมอแล้ว

 

มันเป็นเรื่องแปลกที่บางคนน้ำตาไหลมาหาหมอตาแล้วหมอบอกว่าเป็นโรคตาแห้ง คนไข้ก็จะเถียงว่าดิฉันน้ำตาไหลอยู่ทำไมหมอบอกว่าดิฉันเป็นโรคตาแห้ง ก็ต้องบอกว่าบางคนที่ตาแห้ง ไม่ใช่ไม่มีปริมาณน้ำตานะ แต่มีน้ำตาที่ไม่สมดุล ซึ่งน้ำตาของคนเรามีความซับซ้อนมาก น้ำตาของคนเราประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นน้ำประมาณ 90% ส่วนที่สองเป็นน้ำมันที่ปนอยู่ในน้ำตาเพื่อที่จะทำให้เรามีการหล่อลื่นเวลากกะพริบตาจะได้ไม่ฝืดจนเกินไป และส่วนที่จสามเป็นโปรตีนซึ่งเป็นสสารที่ผลิตจากผิวตาสเอเอง บางคนที่ตาแห้งเพเพราะส่วนที่เป็นน้ำมันข้ข้นจนเกินไป เพราะเปลือกตาอักเสบ คือ ใช้ปตาทั้งวันทั้งคืน พอเปลือกตาอักเสบก็จะมีน้ำมันมากเกินกว่าน้ำ ไม่ใช่ไม่มีน้ำตา แต่มีน้ำตาที่ขาดสมดุลก็เป็นตาแห้ง กรณีนี้คนไข้ อาจจะมีน้ำตาคลอเบ้า หรือน้ำตาไหล หมอก็เลยต้องให้น้ำตาเทียมคนไข้ไป เพราะตาแห้งมีทั้งชนิดที่ไม่มีน้ำตา หรือมีน้ำตาที่ไม่สมดุล

 

ไม่ว่าจะเป็นตาแห้งอย่างไร ในการรักษาหมอจะตรวจดูว่า คนไข้ตาแห้งมีความรุนแรงขนาดไหน เป็นน้อย เป็นปานกลาง หรือเป็นมาก เพราะการรักษาไม่เหมือนกัน บางทีคนไข้เป็นรุนแรง อาจถึงขั้นต้องเจาะน้ำเหลืองตัวคนไข้มาทำเป็นยาหยอดด้วยซ้ำ บางคนต้องผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาเพื่อให้การเกลี่ยน้ำตาพอดี

 

นอกจากนี้การรักษาต้องดูว่าตาแห้งขึ้นอยู่กับสาเหตุใด มีส่วนไหนที่ขาดหายไป เช่น ขาดน้ำมันก็เติมน้ำมัน ขาดน้ำก็เติมน้ำ ถ้าขาดโปรตีนสังเคราะห์ไม่ได้ ก็อาจจะให้ยาบางชนิดไปลดการอักเสบของเซลล์ผิวที่สร้างโปรตีน ให้สามารถฟื้นคืนได้เองตามธรรมชาติ ดังนั้นหมอจะมีวิธีการตรวจ ซึ่งวิธีการตรวจที่ง่ายที่สุด คือ การตรวจดูด้วยกล้อง แต่ถ้าอยากตรวจละเอียดขึ้นไป ก็มีตั้งแต่การตรวจวัดปริมาณน้ำตา การดูระบบท่อน้ำตาว่ามีการไหลเวียนดีหรือไม่ รวมไปถึงการวัดระดับความเข้มข้นของน้ำตาว่าเป็นอย่างไร หรือการย้อมสีก็จะบอกว่าผิวตาดีหรือไม่ดีอย่างไร

 

การรักษาอย่าไปพึ่งแต่ยาอย่างเดียว ต้องปรับวิถีชีวิตด้วย อย่าง ยาหยอดที่เป็นน้ำตาเทียมก็มีสูตรต่างกัน อย่าไปคิดว่าน้ำตาเทียมจะเหมือนกัน แต่ละตัวมีสูตรต่างกัน บางตัวมีสูตรที่ใส่น้ำมันด้วย การรักษาด้วยยาหยอดเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่การรักษาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การปรับการใช้ตาส่วนบุคคล บางคนตาแห้งรักษาอย่างไรก็ไม่หาย เพราะเป็นนักบัญชี ต้องทำงานวันละ 10 ชม. คนไข้พวกนี้บางทีต้องให้เปลี่ยนงาน เพราะรักษาต่อไปก็ไม่หาย หรือถ้ามียากินบางตัวทำให้ตาแห้งก็ต้องปรับเปลี่ยน ถามว่านอกจากยาหยอดแล้วมียากินรักษาโรคตาแห้งหรือไม่ ตอบว่ามี แต่ปัญหาของยากินในปัจจุบันคือกินแล้วไม่ใช่น้ำตาไหลอย่างเดียว น้ำลายไหลด้วย ก็เลยไม่นิยมใช้

 

สรุปว่า นอกจาก "ตาแห้ง" เป็นความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัย ยาบางตัว ชั่วโมงที่ใช้ตา ชนิดของงาน ล้วนมีผลทั้งสิ้น และอาการตาแห้งมิใช่แค่ไม่มีน้ำตา แต่การมีน้ำตาที่ขาดสมดุล ก็เป็นตาแห้งเหมือนกัน.

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์