'Burn-out Syndrome' ภัยเงียบของคนทำงาน

 

'Burn-out Syndrome' ภัยเงียบของคนทำงาน

 

 

Burn-out หมายถึง การทำงานหนักมากเกินไปและไม่ได้สัดส่วนกับการพักผ่อนจนเกิดอาการ เช่น สมองไม่แล่น ความจำไม่ดี อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนไม่หลับ เหมือนเครื่องยนต์ที่วิ่งไม่หยุดจนทำให้เครื่องร้อนจนหม้อน้ำเดือน ทำงานจนหมดพลัง ไม่มีประจุเก็บไว้ใช้งาน นักจิตเวชชาวอเมริกัน เฮอร์เบิร์ต เจ ฟลอยเดนเบอร์เกอร์ ได้นำชื่อ Burn-out มาใช้ในการรักษาทางจิตเวช เมื่อปี 1974 ซึ่งก็คือโรคจิตทางหนึ่ง ซึ่งมักเกิดกับคนที่ตั้งความหวังไว้สูงเกี่ยวกับตัวเอง และต้องการความเพอร์เฟกต์ จนก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางร่างกายและจิตใจ

 

สัญญาณแรกเริ่มของโรค Burn-out เป็นอย่างไร รู้สึกเบื่องาน นอนไม่หลับ เครียด ไม่มีความสุข ไม่สนุกกับงาน คือต้องแยกจากโรคซึมเศร้าและโรคเครียดซึ่งมีอาการคล้ายๆ กัน แต่มีสาเหตุที่แตกต่างกัน อย่างโรคเครียดก็มีสาเหตุของโรคอย่างชัดเจน เช่น เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดเรื่องลูก กลัวภรรยาหรือสามีไม่ได้ดั่งใจ หรือภรรยากลับสามีไปมีคนอื่น ลูกเรียนไม่ดีก็ทำให้พ่อแม่กลุ่มใจ

 

ส่วนอาการซึมเศร้าก็มีสาเหตุทำให้ซึมเศร้า เช่น การสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินเงินทอง หน้าที่การงาน ตำแหน่ง ฯลฯ อีกส่วนหนึ่งของโรคซึมเศร้าก็เกิดจากสารเคมีในสมองผลิตน้อยเกินไป หรือจากรรมพันธุ์ พอถึงเวลาเป็น ก็จะเป็นขึ้นมา ส่วนโรค Burn-out จะเกี่ยวกับการทำงานของโอเวอร์เกินไป ใช้เวลาทำงานเยอะเกินไป คือมีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

 

ทำไมจึงเกิดอาการ Burn-out ได้ เมื่อคนเราทำงานมากกว่าสัดส่วนของการพักผ่อนก็เกิดอาการนี้ได้คือ เราควรทำงานแล้วพัก เช่น ทำงานหนึ่งชั่วโมง เราก็ควรใช้สมอง 45 นาที แล้วก็พัก 10-15 นาที สมองก็จะได้พัก ควรหมุนเวียนเช่นนี้ทุกๆ ชั่วโมง การทำงานก็เหมือนกัน ทั่วโลกเขาทำงานกัน 5 วันพัก 2 วัน ในสัปดาห์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ว่า Burn-out นี่มันไม่ได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นตามที่ธรรมชาติต้องการ คือทำงานมากเกินไปจนไม่มีเวลาหยุดพัก หรือหยุดพักไม่เพียงพอก็จะหมดเรี่ยวแรง หมดพลัง

 

ถ้าเราปล่อยให้ Burn-out ไปเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดโรคที่เป็นไปได้มากกว่า 100 โรค สุดท้ายก่อให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคเกี่ยวกับหู โรคหัวใจหรืออัมพฤกษ์อัมพาต สัญญาณแรกก็คือ หมดพลัง หมดความกระตือรือร้น เฉื่อยชา บางคนเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ หมดอาลัยตายอยากในชีวิต ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความจำแย่ลง ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่าย ร่างกายอ่อนเปลี้ยไม่ค่อยมีแรง นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ประสาทเครียด ความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อสูง ซึ่งส่วนมากคนที่เป็นโรค Burn-out ก็มักหาทางออกปล่อยตัวด้วยการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป กินยานอนหลับ กินอาหารมากเกินไป และสูบบุหรี่มากเกินไป

 

เราก็จะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มเป็น Burn-out แล้ว เริ่มรู้สึกว่าการทำงานไม่เหมือนเดิม สมาธิในการทำงานและความตั้งใจในการทำงานต่างๆ ลดลง มีอาการข้างเคียงอื่นๆ เช่น ความจำไม่ดี นอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งต้องมีสาเหตุมาจากการทำงานที่โอเวอร์เกินไป ไม่ได้หมายถึงสาเหตุอื่นๆ

 

ผู้หญิงไทยน่าเสี่ยงกับการเป็นโรค Burn-out Syndrome เพราะต้องทำงานทั้งในบ้านและนอกบ้าน วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด

 

จริงๆ แล้วคนไทยมักมีอาการ Burn-out โดยไม่รู้ตัว เพราะคนไข้ที่มาพบจิตแพทย์ส่วนใหญ่มักเลยเถิดไปถึงโรคซึมเศร้าแล้ว นอกจากนี้ สังคมและวัฒนธรรมไทยมีส่วนทำให้ผู้หญิงต้องยอมรับ ต้องเงียบๆ หัวอ่อน ไม่มีปากมีเสียง โอกาสจะเข้าข่ายเป็น Burn-out Syndome ก็จะสูง การที่ผู้หญิงต้องแบกภาระมากมายก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงเป็นโรคจิต โรคเครียด โรคประสาทเยอะกว่าเพศชาย ทางจิตเวช ผู้หญิงจึงมีมากกว่าผู้ชายสองเท่า บางโรคสามสี่เท่า ฉะนั้นคนไทยในสังคมเมืองจึงมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงมาก และมักเป็นกับคนวัยทำงานและกับวัฒนธรรมการทำงานอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในโลก เพราะคนญี่ปุ่นทำงานกันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ด้วยเหตุนี้ ชายญี่ปุ่น จึงเข้าคลับเข้าบาร์หรือเล่นเกมหลังเลิกงาน ไม่ตรงกลับบ้านเพราะเครียดกับงานมาก

 

เราควรรักษาอาการ Burn-out ของตัวเองอย่างไร ให้ความสมดุลกับจิตใจ เช่น ตรึกตรองว่าฉันได้พลังมาจากไหนแล้วจะใช้พลังเพื่ออะไรบ้าน คุณภาพชีวิตของฉันเป็นอย่างไร ระหว่าง 0 (แย่มาก) - 10 (ดีมาก) ปัจจัยก่อให้เกิดความเครียดแล้ว ฉันจะหลีกเลี่ยงความเครียดได้อย่างไร การมีความสุขในชีวิตมากขึ้น เราควรใส่ใจกับสุขภาพร่างกายและจิตใจของตัวเอง ข้อแนะนำก็คือ การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

 

ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการ Burn-out Syn-drome การทำงานและการพักผ่อนของคนเราควรได้สัดส่วนที่พอดี แต่ละคนอาจไม่เท่ากัน บางคนอาจจะมากหรือน้อย เพราะบางคนใช้เวลาทำงานสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพสูงก็มี ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล หากจัดสรรเวลาได้ดี เราควรมีกิจกรรมคลายเครียด เช่น มีเครือข่าย ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไว้พูดคุยหรือออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายทางจิตวิทยาถือว่าเป็นการให้คุณค่าแก่ตัวเราเอง ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง ข้อเสียของคนไทยคือปฏิเสธไม่เป็น ถ้าเรารู้จักปฏิเสธก็จะไม่เกิดอาการ Burn-out หรือเกิดช้า

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก